1.ความหมายของ E-Commerce การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
2.E-Commerce มี 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
ธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business หรือ B to B หรือ B2B)ธุรกิจและลูกค้า (Business to Consumers หรือ B to C หรือ B2C)ธุรกิจกับรัฐบาล (Business to Government หรือ B to G หรือ B2G)ลูกค้ากับลูกค้า (Consumers to Consumers หรือ C to C หรือ C2C)
3.ประโยชน์ของ E-Commerce มีอยู่ 3 ด้าน คือ
1.สำหรับผู้บริโภค
ได้รับความสะดวก ประหยัดเวลาในการซื้อสินค้าอย่างครบวงจร
มีสินค้าและบริการให้เลือกมากขึ้น
เลือกชมสินค้าได้ตลอดเวลา (24x7)
สามารถเปรียบเทียบราคาของสินค้า และรับทราบความคิดเห็นต่อสินค้า/บริการนั้นๆ ผ่านทางเว็บบอร์ดได้ก่อนตัดสินใจซื้อ
ได้สินค้าที่มีคุณภาพดี และราคายุติธรรม เพราะซื้อสินค้าโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
ได้รับสินค้าอย่างรวดเร็วในกรณีที่สินค้านั้นสามารถส่งผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เพลง และ ซอฟต์แวร์ เป็นต้น
2.สำหรับผู้ประกอบการ
เข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
เพิ่มยอดขาย
ลดต้นทุน
บนอินเทอร์เน็ตผู้ประกอบการรายย่อยมีโอกาสในการแข่งขันเท่าเทียมกับผู้ประกอบการรายใหญ่
ลดภาระสินค้าคงคลัง
ให้บริการและทำการตลาดต่อลูกค้ารายบุคคลได้
สถานที่ตั้งของบริษัทไม่เป็นข้อจำกัดในการดำเนินกิจการ
เพิ่มประสิทธิภาพในการขายและการทำงานภายในสำนักงานโดยนำระบบสำนักงานอัตโนมัติ(Office Automation) มาใช้
3.สำหรับผู้ผลิต
เพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายมากขึ้น
เปิดตลาดใหม่
เพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้า
ลดค่าใช้จ่ายและความผิดพลาดในเรื่องข้อมูลการซื้อขาย
เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
ลดภาระสินค้าคงคลัง
ข้อจำกัดของ E-commerce
1.ข้อจำกัดด้านเทคนิค
-ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย
และความน่าเชื่อถือ
-ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
ซอร์ฟแวร์ยังกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
-ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่าง Internet และซอร์ฟแวร์ของ E-commerce กับแอพพลิเคชั่น
-ต้องการ Web Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
-การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก
ข้อจำกัดด้านกฎหมาย
-กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ
ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และลักษณะที่แตกต่างกัน
-การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์
หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
-ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น
การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต
จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
2.ข้อจำกัดด้านธุรกิจ
-วงจรผลิตภัณฑ์ (Product
Life Cycle) จะสั้นลง
เพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว การลอกเลียนผลิตภัณฑ์จึงทำได้รวดเร็ว
เกิดคู่แข่งเข้ามาในตลาดได้ง่าย จะต้องมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เสมอ
-ความพร้อมของภูมิภาคต่าง
ๆในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของ E-Commerce มีไม่เท่ากัน
-ภาษีและค่าธรรมเนียม จาก E-Commerce จัดเก็บได้ยาก
ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
3.ข้อจำกัดอื่นๆ
-การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเตอร์เน็ต มีมาก
และมีการขยายตัวเร็วมากกว่าการพัฒนาของอินเตอร์เน็ตเสียอีก
-สิทธิส่วนบุคคล (Privacy)
ระบบการจ่ายเงิน
หรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใคร
และสามารถใช้ซอร์ฟแวร์ติดตามกิจกรรมต่าง ๆ หรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
-E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือและไว้ใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4.เทคโนโลยี EDI มีความสำคัญต่อE-Commerce อย่างไร
EDI ( Electronic Data Interchange ) คืออะไร ?
EDI คือ การแลกเปลี่ยนเอกสารทางธุรกิจระหว่างบริษัทคู่ค้าในรูปแบบมาตรฐานสากลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่ง ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง มีสององค์ประกอบที่สำคัญในระบบ EDI คือ การใช้ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์มา แทนเอกสารที่เป็นกระดาษ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต้องอยู่ในรูปแบบมาตรฐานสากล ด้วยสองปัจจัยนี้ ทุกธุรกิจสามารถ แลกเปลี่ยนเอกสารกันได้ทั่วโลก
ข้อแตกต่างระหว่าง EC (Electronic Commerce) กับ EDI (Electronic Data Interchange) ?
Electronic Commerce หรือ อิเล็กทรอนิกส์วาณิชย์ หมายรวมถึงการค้าขายโดยใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็น สื่อกลาง เช่น การแลกเปลี่ยนเอกสารโดยใช้ EDI การจ่ายเงินโดยใช้บัตรเครดิตผ่านสายโทรศัพท์ การโฆษณาและสั่งซื้อสินค้าผ่านInternet เป็นต้น ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า EDI เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ EC
5. ตัวอย่างเว็บไซด์ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B,B2C,C2C,B2G
.B2B พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทธุรกิจกับธุรกิจ (Business-to-Business หรือ B2B) หมายถึง การซื้อขายระหว่างผู้ผลิตด้วยกัน เช่น ผู้ผลิตรถยนต์สั่งซื้อวัตถุดิบจากโรงงานที่เป็น Supplierหรือ ร้านค้าปลีกสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทผู้ผลิตสินค้า เมื่อสต็อกสินค้าลดลงถึงระดับหนึ่ง ผ่านระบบ EDI โดยส่วนใหญ่ผู้ซื้อและผู้ขายมักจะรู้จักกันล่วงหน้า และอาจทำเอกสารสัญญาที่เป็นกระดาษกันล่วงหน้า ดังนั้นความเสี่ยงที่เกิดจากการซื้อขายจะต่ำ
ตัวอย่างเว็บไซต์ Business-to-Business (B2B)
B2C พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทธุรกิจกับบริโภค(Business-to-Consumer หรือ B2C) หมายถึง การที่ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภค ช่องทางนี้เป็นช่องทางที่ผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถฉกฉวยเป็นโอกาสในการต่อสู้กับบริษัทขนาดใหญ่ได้
ตัวอย่างเว็บไซต์ Business-to-Consumer (B2C)
http://www.amazon.com/
C2C พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer-to-Consumer หรือ C2C)เป็นการค้าระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือระหว่างผู้ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยกันเอง
ตัวอย่างเว็บไซต์ Consumer-to-Consumer (C2C)
www.ebay.com
B2G ธุรกิจกับภาครัฐเป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างเอกชนกับภาครัฐ ได้แก่การประมูลออนไลน์และการจัดซื้อจัดจ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น