วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


1.ความหมายของ E-Commerce การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
         พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998) 

   2.E-Commerce มี 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
ธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business หรือ B to B หรือ B2B)ธุรกิจและลูกค้า (Business to Consumers หรือ B to C หรือ B2C)ธุรกิจกับรัฐบาล (Business to Government หรือ B to G หรือ B2G)ลูกค้ากับลูกค้า (Consumers to Consumers หรือ C to C หรือ C2C)

3.ประโยชน์ของ E-Commerce มีอยู่ 3 ด้าน คือ
1.สำหรับผู้บริโภค

     ได้รับความสะดวก ประหยัดเวลาในการซื้อสินค้าอย่างครบวงจร
     มีสินค้าและบริการให้เลือกมากขึ้น
     เลือกชมสินค้าได้ตลอดเวลา (24x7)
     สามารถเปรียบเทียบราคาของสินค้า และรับทราบความคิดเห็นต่อสินค้า/บริการนั้นๆ ผ่านทางเว็บบอร์ดได้ก่อนตัดสินใจซื้อ
     ได้สินค้าที่มีคุณภาพดี และราคายุติธรรม เพราะซื้อสินค้าโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
     ได้รับสินค้าอย่างรวดเร็วในกรณีที่สินค้านั้นสามารถส่งผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เพลง และ ซอฟต์แวร์ เป็นต้น


2.สำหรับผู้ประกอบการ

     เข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
     เพิ่มยอดขาย
     ลดต้นทุน
     บนอินเทอร์เน็ตผู้ประกอบการรายย่อยมีโอกาสในการแข่งขันเท่าเทียมกับผู้ประกอบการรายใหญ่
     ลดภาระสินค้าคงคลัง
     ให้บริการและทำการตลาดต่อลูกค้ารายบุคคลได้
     สถานที่ตั้งของบริษัทไม่เป็นข้อจำกัดในการดำเนินกิจการ
     เพิ่มประสิทธิภาพในการขายและการทำงานภายในสำนักงานโดยนำระบบสำนักงานอัตโนมัติ(Office Automation) มาใช้


3.สำหรับผู้ผลิต

     เพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายมากขึ้น
     เปิดตลาดใหม่
     เพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้า
     ลดค่าใช้จ่ายและความผิดพลาดในเรื่องข้อมูลการซื้อขาย
     เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
     ลดภาระสินค้าคงคลัง
ข้อจำกัดของ  E-commerce 

1.ข้อจำกัดด้านเทคนิค

-ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ
-ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
ซอร์ฟแวร์ยังกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
-ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่าง Internet และซอร์ฟแวร์ของ E-commerce กับแอพพลิเคชั่น
-ต้องการ Web Server และ Network Server ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
-การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก    
ข้อจำกัดด้านกฎหมาย                                                                                                                 
-กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และลักษณะที่แตกต่างกัน
-การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
-ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
2.ข้อจำกัดด้านธุรกิจ
-วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จะสั้นลง เพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว การลอกเลียนผลิตภัณฑ์จึงทำได้รวดเร็ว เกิดคู่แข่งเข้ามาในตลาดได้ง่าย จะต้องมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เสมอ
-ความพร้อมของภูมิภาคต่าง ๆในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของ E-Commerce มีไม่เท่ากัน
-ภาษีและค่าธรรมเนียม จาก E-Commerce จัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
3.ข้อจำกัดอื่นๆ
-การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเตอร์เน็ต มีมาก และมีการขยายตัวเร็วมากกว่าการพัฒนาของอินเตอร์เน็ตเสียอีก
-สิทธิส่วนบุคคล (Privacy) ระบบการจ่ายเงิน หรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเตอร์เน็ตทำให้ผู้ขายทราบว่าผู้ซื้อเป็นใคร และสามารถใช้ซอร์ฟแวร์ติดตามกิจกรรมต่าง ๆ หรือส่ง Spam ไปรบกวนได้
-E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือและไว้ใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 
4.เทคโนโลยี EDI มีความสำคัญต่อE-Commerce อย่างไร
 
 EDI ( Electronic Data Interchange ) คืออะไร ?
       EDI คือ การแลกเปลี่ยนเอกสารทางธุรกิจระหว่างบริษัทคู่ค้าในรูปแบบมาตรฐานสากลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่ง ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง มีสององค์ประกอบที่สำคัญในระบบ EDI คือ การใช้ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์มา แทนเอกสารที่เป็นกระดาษ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต้องอยู่ในรูปแบบมาตรฐานสากล ด้วยสองปัจจัยนี้ ทุกธุรกิจสามารถ แลกเปลี่ยนเอกสารกันได้ทั่วโลก
ข้อแตกต่างระหว่าง EC (Electronic Commerce) กับ EDI (Electronic Data Interchange) ?
         Electronic Commerce หรือ อิเล็กทรอนิกส์วาณิชย์ หมายรวมถึงการค้าขายโดยใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็น สื่อกลาง เช่น การแลกเปลี่ยนเอกสารโดยใช้ EDI การจ่ายเงินโดยใช้บัตรเครดิตผ่านสายโทรศัพท์ การโฆษณาและสั่งซื้อสินค้าผ่านInternet เป็นต้น ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า EDI เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ EC
5. ตัวอย่างเว็บไซด์ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B,B2C,C2C,B2G
.B2B พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทธุรกิจกับธุรกิจ (Business-to-Business หรือ B2B) หมายถึง การซื้อขายระหว่างผู้ผลิตด้วยกัน เช่น ผู้ผลิตรถยนต์สั่งซื้อวัตถุดิบจากโรงงานที่เป็น Supplierหรือ ร้านค้าปลีกสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทผู้ผลิตสินค้า เมื่อสต็อกสินค้าลดลงถึงระดับหนึ่ง ผ่านระบบ EDI  โดยส่วนใหญ่ผู้ซื้อและผู้ขายมักจะรู้จักกันล่วงหน้า และอาจทำเอกสารสัญญาที่เป็นกระดาษกันล่วงหน้า ดังนั้นความเสี่ยงที่เกิดจากการซื้อขายจะต่ำ
ตัวอย่างเว็บไซต์ Business-to-Business  (B2B)

B2C พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทธุรกิจกับบริโภค(Business-to-Consumer หรือ B2C) หมายถึง การที่ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภค ช่องทางนี้เป็นช่องทางที่ผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถฉกฉวยเป็นโอกาสในการต่อสู้กับบริษัทขนาดใหญ่ได้


ตัวอย่างเว็บไซต์ Business-to-Consumer  (B2C)

 http://www.amazon.com/  



 C2C พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer-to-Consumer หรือ C2C)เป็นการค้าระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือระหว่างผู้ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยกันเอง


ตัวอย่างเว็บไซต์ Consumer-to-Consumer  (C2C)
www.ebay.com
B2G ธุรกิจกับภาครัฐเป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างเอกชนกับภาครัฐ ได้แก่การประมูลออนไลน์และการจัดซื้อจัดจ้าง
                         

6. วิธีการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยอะไรบ้างวิธีการชำระเงินของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หลายวิธีดังต่อไปนี้1. ชำระโดยบัตรเครดิต (Credit Card)       วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด โดยเมื่อผู้ซื้อตกลงซื้อสินค้าแล้ว จะต้องกรอกข้อมูลบัตรเครดิตลงบนอินเทอร์เน็ต ข้อมูลจะถูกส่งไปยังธนาคารที่ร้านค้าใช้บริการอยู่ (Acquiring Bank) ธนาคารจะทำการตรวจสอบมายังธนาคาร ผู้ออกบัตรถ้าข้อมูลถูกต้อง ผู้ซื้อจะต้องยืนยันคำสั่งซื้ออีกครั้ง จากนั้นธนาคารจะโอนเงินไปสู่บัญชีร้านค้าแล้วร้านค้าก็จะจัดส่งสินค้าให้กับผู้ซื้อต่อไป  2. ชำระโดยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Money)      วิธีการชำระเงินของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตซึ่งมี โดยผู้ซื้อจะต้องเปิดบัญชีกับธนาคารที่ให้บริการ เมื่อตกลงจะซื้อสินค้าผู้ซื้อจะเข้าไปถอนเงินจากเว็บไซต์ (Web Site)ของธนาคาร มาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ซื้อ จากนั้นผู้ซื้อจะสั่งซื้อสินค้าและจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้กับร้านค้าทางร้านค้าก็จะตรวจสอบความถูกต้องกับธนาคาร เมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็จะดำเนินการส่งสินค้าให้กับผู้ซื้อต่อไป








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น