วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

การบ้าน



1.การจัดการความรู้(KM) คืออะไร

การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ1.    ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม                    2.  ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรมเป้าหมายของงานที่สำคัญ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธิ์ ออกเป็น 4 ส่วน คือ                   1) การสนองตอบ (Responsiveness)                   2) การมีนวัตกรรม (Innovation)                   3) ขีดความสามารถ (Competency)                    4) ประสิทธิภาพ (Efficiency)                    เป้า หมายสุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การที่กลุ่มคนที่ดำเนินการจัดการความรู้ร่วมกัน มีชุดความรู้ของตนเอง ที่ร่วมกันสร้างเอง สำหรับใช้งานของตน คนเหล่านี้จะสร้างความรู้ขึ้นใช้เองอยู่ตลอดเวลา โดยที่การสร้างนั้นเป็นการสร้างเพียงบางส่วน เป็นการสร้างผ่านการทดลองเอาความรู้จากภายนอกมาปรับปรุงให้เหมาะต่อสภาพของ ตน และทดลองใช้งาน จัดการความรู้ไม่ใช่กิจกรรมที่ดำเนินการเฉพาะหรือเกี่ยวกับเรื่องความรู้ แต่เป็นกิจกรรมที่แทรก/แฝง หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า บูรณาการอยู่กับทุกกิจกรรมของการทำงาน และที่สำคัญตัวการจัดการความรู้เองก็ต้องการการจัดการด้วย  ตั้งเป้าหมายการจัดการความรู้เพื่อพัฒนา 3 ประเด็น   1.    งาน พัฒนางาน      2.    คน พัฒนาคน     
3.    องค์กร เป็นองค์กรการเรียนรู้

2.การบริหารงานแบบTQM และBPR คืออะไรและแตกต่างกันอย่างไร                        TQMคือ

                    T (Total) : การยินยอมให้ทุกคนปฏิบัติงานอยู่ภายในองค์การได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดตั้งและบริหารงานระบบคุณภาพ ซึ่งเกี่ยวกับทั้งลูกค้าภายนอก (external customer) และลูกค้าภายใน (internal customer) โดยตรง              Q (Quality) : การสร้างความพึงพอใจของลูกค้าต่อการใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการเป็นหลัก นอกจากนี้คุณภาพยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวความคิดเชิงระบบของการจัดการ(systematic approach of management) กล่าวคือ การกระทำสิ่งใด ๆ อย่างเป็นระบบที่ต่อเนื่องและตรงตามแนวความคิดดั้งเดิมของวงจรคุณภาพที่เรียกว่า PDCA cycle ซึ่งเสนอรายละเอียดโดยW.Edwards Deming                  เพราะฉะนั้นถ้าหมุนวงจรคุณภาพเช่นนี้อย่างต่อเนื่องขึ้นภายในแต่ละหน่วยงาน ย่อยขององค์การหนึ่ง ๆ ก็ย่อมจะเกิดระบบคุณภาพโดยรวมทั้งหมดที่เรียกว่า TQM ขึ้นมาได้ในประการสุดท้าย
                 M (Management) : ระบบของการจัดการหรือบริหารคุณภาพขององค์การ ซึ่งดำเนินการและควบคุมด้วยระดับผู้บริหารสูงสุด ซึ่งประกอบด้วย วิสัยทัศน์ (vision) การประกาศพันธกิจหลัก (mission statement) และกลยุทธ์ของการบริหาร (strateship management) รวมถึงการแสดงสภาวะของความเป็นผู้นำ (leadership) ที่จะมุ่งมั่นปรับปรุงและพัฒนาระบบคุณภาพขององค์การอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดระยะเวลา (continuous quality improvement) 
โดยสรุป   คือเป็นระบบการจัดการที่เน้นมนุษย์ (a peple-focused management system) กล่าวคือ เป็นกระบวนการทางวัฒนธรรมที่มุ่งเปลี่ยนแปลงคนทั้งหมดในองค์การ เพื่อให้หันมาสนใจปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือการสร้างความเป็นเลิศในระดับโลกTQM มีความหมายหลายอย่างในตัวเอง กล่าวคือเป็นทั้งกลยุทธ์ เทคนิค ระบบการจัดการ รวมไปถึงปรัชญาและเครื่องมือในการแก้ปัญหาขององค์การ สาเหตุที่ TQM มีความสำคัญก็เพราะการเปลี่ยนแปลงทางด้านการผลิต  การ ตลาด และการเงิน เนื่องจากองค์การต้องการพัฒนาประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้กับการแข่งขัน โดยมีกระแสโลกาภิวัตน์เป็นตัวเร่งตลาดและการแข่งขันเปิดกว้างออกอย่างไร้ พรมแดน องค์การต้องหาทางลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพ เพื่อเอาตัวรอดและสร้างความเจริญก้าวหน้า ประกอบกับมีตัวอย่างความสำเร็จของ TQM จากกิจการต่าง ๆ ทั้งในประเทศญี่ปุ่น ประเทศตะวันตกและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก (เรืองวิทย์ )
BPR  คือ  Business Process Reengineering เป็นการออกแบบกระบวนการหลักของธุรกิจ(Core business process)ขึ้นมาใหม่โดยไม่มีเค้าโครงร่างเดิมอยู่เลย เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงอย่างรวดเร็วแก่ ผลิตผล ระยะเวลาในการผลิต และคุณภาพ องค์กร ที่ใช้เครื่องมือนี้จะเริ่มด้วยกระดาษแผ่นหนึ่งและเริ่มคิดถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมเพื่อให้สามารถก่อให้เกิดคุณค่ากับลูกค้ามากขึ้น จากนั้นจะสร้างระบบคุณค่าใหม่ขึ้นมา เพื่อเพิ่มการเน้นความสำคัญลงไปที่สิ่งต่าง ๆ ที่ลูกค้าต้องการ จะลดลำดับชั้นขององค์กรให้น้อยลงและขจัดกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตผลออกไป มุ่งเน้นที่สองพื้นที่นี้คือ ออกแบบฟังก์ชันขององค์กรใหม่ให้เป็นแบบกลุ่มข้ามสายงาน (cross-functional teams) และใช้เทคโนโลยีการเพื่อกระจายข้อมูลและทำการตัดสินใจ 

3."ธุรกรรมออนไลน์"ของธนาคารที่ใช้ในการบริการ

ธุรกรรมออนไลน์ หรือ E-Commerce นั้น หลายคนอาจยังไม่เคยใช้ อาจคิดอยู่ว่า มันจะปลอดภัยจริงๆ เหรอ .. กลัวโดนหลอกบ้าง อาจเป็นเพราะความไม่เชื่อใจ จึงทำให้ตลาดในโลกออนไลน์ในประเทศเรายังไม่โตสักเท่าไหร่นัก แต่เชื่อผมเถอะครับ อีกไม่นาน ตลาดนี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง .. เช่น เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ก็เล่นอินเทอร์เน็ตได้แล้ว ทำให้คนที่ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศมีจำนวนมากขึ้น อีกทั้งการเดินทางไปซื้อของสมัยนี้ ก็หนีไม่พ้น การเดินทาง ที่แสนสาหัส ไปเลือกของตามสถานที่แล้วไม่ถูกใจ เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก อีกทั้งการเปิดเว็บไซต์ขายของ เดี๋ยวนี้เปิดง่ายนิ๊ดเดียว บางแห่ง สมัครฟรี มีความรู้พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ แค่คลิ๊ก คลิ๊ก และก็คลิ๊ก ก็สามารถเป็นเจ้าของร้านขายของออนไลน์ ได้แล้ว แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เรามารู้กันก่อนครับ ว่าธุรกรรมออนไลน์ นั้น ทำงานกันอย่างไร


  • ธุรกรรมออนไลน์ แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
  • เคยเห็นไหมครับ เข้าเว็บไซต์ จะซื้อของอย่างใด อย่างหนึ่งนั้น ร้านค้าออนไลน์ บอกว่า ให้ผู้ซื้อโอนเงินไปให้ทางร้านค้าก่อน .. เอาล่ะสิ วัดใจกันหน่อย ว่าผู้ซื้อนั้น จะเชื่อใจร้านค้านั้น ๆ ไหม ถ้าเชื่อ ก็จบ (ผู้ซื้ออาจจะไปดูตามกระทู้ต่างๆ ว่าร้านค้า ร้านนั้น ๆ มีเครดิตไหม) �
  • *การทำธุรกรรมแบบนี้ จะเห็นได้ว่า ผู้ซื้อเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจาก หากร้านค้าออนไลน์ร้านนั้น ไม่มีตัวตน ผู้ซื้อหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีของร้านไป แต่ไม่ได้รับของ ..
  • ธุรกรรมออนไลน์ แบบเต็มใบ
  • ธุรกรรมแบบนี้แน่นอนครับ หนีไม่พ้น บัตรเครดิต .. พอฟังบัตรเครดิตแล้ว คนที่มีความรู้เรื่องความปลอดภัยของการทำธุรกรรมออนไลน์ ถึงกับร้องจี๊ด เนื่องจากหากเลขบัตรเครดิตของเราตกหลุดไป หรือโดน Hack แล้วล่ะก็ เงินในบัตรจะหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว และเรายังต้องเสียเวลาไปปฏิเสธการจ่ายเงินอีก
  • แต่สำหรับอีกหลายคน (จำนวนมาก) ที่มีบัตรเครดิต แต่ยังไม่ึคำนึงถึงความปลอดภัยของการใช้ แถมยังมาใช้ทำธุรกรรมออนไลน์อีก เพราะฉะนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์ เรามาดูกันนะครับ ว่าการทำงานคร่าว ๆ นั้น มันทำงานอย่างไร
การทำงานคร่าวๆ*ผมแค่ยกตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหลักการทำงานเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ Brand หรือ Product ของใครแต่อย่างใด*
  1. ผู้ถือบัตร (Cardholder) ไปขอทำบัตรเครดิต KTC (Issues) และได้บัตร KTC มาครอบครอง
  1. ผู้ถือบัตร ไปซื้อสินค้าในเว็บไซต์ http://www.shopping.com โดยเลือกซื้อสินค้าลงตระกร้า และทำต้องการชำระเงินออนไลน์
  1. http://www.shopping.com
     ขอ Authen เพื่อจองวงเงิน จาก ธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่ http://www.shopping.com นั้น เลือกให้เป็นตัวแทน(Acquirer)
  1. Acuirer กับ Issues อาจเป็นธนาคารเดียวกัน หรือสถานบันการเงินเดียวกันก็ได้ เช่น ผู้ใช้อาจใช้บัตรเครดิตกรุงศรี ไปตัดเงินกับ ธนาคารกรุงศรีฯ ก็ได้
  1. Acquirer จะตรวจสอบว่าเป็นบัตรอะไร เช่น Visa , Master ฯลฯ เพื่อวิ่งไปตรวจสอบ
สิ่งที่จะเ้กิดขึ้นตามมา
  • ร้านค้า http://www.shopping.com จะได้เงินจาก Acquirer (สมมติ ธ.กรุงศรีฯ ) ตามจำนวนเงินที่ขออนุมัติไป
  • Acquirer (สมมติ ธ.กรุงศรีฯ ) จะไปเรียกเก็บเงินจาก Issue (KTC)
  • Issue (KTC) จะไปเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร …
ครับ เป็นหลักการเบื้องต้นของการทำธุรกรรมออนไลน์ และการทำธุรกรรมแบบนี้ ไม่เหมือนกับท่านไปซื้อสินค้าตามห้างนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น